ปัตนะ, ปาฏลีบุตร (Patna, Patliputra)
ความเป็นมาของเมือง ปาฏลีบุตร
เมืองปาฏลีบุตร หรือปัจจุบันเรียกว่า เมืองปัตนะ เป็นเมือง
หลวงของรัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย เป็นรัฐที่ยากจนที่สุดของอินเดีย
มีประมาณประชากรอาศัยอยู่ประมาณ ๘๕ ล้านกว่าคน ซึ่งใกล้เคียง
กับประชากรคนไทย ในสมัยครั้งพุทธกาลเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ชื่อว่า ปาฏลิคาม ด้วยเหตุที่พระเจ้าอชาตศัตรูไม่พอพระทัยเจ้าลิจฉวี
แห่งแคว้นวัชชี ปรึกษาหารือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีคำ สั่งให้สุนีธะ
และวัสสการพราหมณ์ไปที่หมู่บ้านปาฏลิคาม สร้างเป็นป้อมปราการ
เพื่อเป็นเขตแดนกั้นระหว่างมคธกับวัชชี ตลอดจนการตั้งกองกำ ลังเพื่อ
ปราบแคว้นวัชชีในภายภาคหน้า
พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า จะประสบภัย ๓ ประการคือ
อุทกภัย (น้ำ ท่วม) อัคคีภัย (ไฟไหม้) และสามัคคีเภท (ความแตกแยก)
และเป็นเส้นทางลัดของพระพุทธเจ้าจากราชคฤห์ผ่าน
อัมพลัฏฐิกา - นาลันทา - ปาฏลิคาม - โกฏิคาม - ชัมพุคาม - หัตถีคาม -
ปาวา- กุสินารา - กบิลพัสดุ์
หลังพุทธกาล ๑๐๐ ปี เศษ ในบรรดา ๑๖ แคว้นแห่งชมพู
ทวีป มีบางแคว้น ได้ล้มสลายหายไป มีเพียงแต่แคว้นมคธที่ยังคงมี
แสนยานุภาพ แผ่ขยายอำ นาจอาณาจักรออกไปอย่างกว้างขวางโดย
เฉพาะในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช
- เหตุการณ์ที่สำ คัญ
พ.ศ. ๑๑๔๓ ตกอยู่ในอำ นาจการปกครองของแคว้นเบงกอล
สมัยของพระเจ้าศศางกา
พ.ศ. ๑๗๖๐ เปลี่ยนชื่อมาเป็น อชิมาบัด เพราะมุสลิมได้
ทำ การยึดการปกครอง
พ.ศ. ๒๑๓๖ อังกฤษยึดครองและเป็นศูนย์กลางขายฝิ่นให้จีน
พ.ศ. ๒๔๓๘ ดร. เวคเดลล์ ได้ทำ การขุดค้นได้เสาไม้และเสา
หินเป็นจำ นวนมาก
พ.ศ. ๒๔๕๕ ดร.อันเตก้า ได้ขุดค้นพบเสาหินใหญ่จำ นวน
๒๒๕ ต้น
วัดอโศการาม
วัดอโศการามเป็นวัดที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างถวายเพื่อ
เป็นพุทธบูชา เพื่อเป็นที่อยู่จำ พรรษาแห่งสงฆ์หมู่ใหญ่ เดิมเป็นพระราช
อุทยาน และเป็นสถานที่สังคายนาครั้งที่ ๓
วัดอโศการาม คนท้องถิ่นเรียกว่า กุมราหะ ยังมีอารามอีกแห่ง
คือ กุกกุฏาราม อยู่ทางใต้ของเมืองปาฏลีบุตรเก่า ซึ่งพระอานนท์เคย
จำ พรรษาบ่อยครั้งมาก
อโรคยาสถาน
อโรคยาสถาน เป็นโรงพยาบาลที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงจัด
ตั้งขึ้นอยู่ภายในวัดอโศก ปัจจุบันอยู่ใกล้กับเนินดิน
เสาหินศิลา
เป็นเสาหินใหญ่ ที่ดร. อันเตก้า ได้ค้นพบ มีเสาจำ นวน ๒๒๕
ต้น ปักเป็น ๘ แถวๆ ละ ๒๕ ต้น ซึ่งอยู่ลึกกว่าระดับพื้นดินทั่วไป
ช่วงฤดูฝนจะจมน้ำ กลายเป็นสระขนาดใหญ่ สถานแห่งนี้นอกจากจะ
เป็นสถานที่สังคายนาแล้ว และเสาหินทั้งหมดนี้เป็นเสาท้องพระโรงของ
พระราชวังที่มอบถวายวัดอโศการาม
พิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์ประจำ รัฐพิหาร เป็นที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุตาม
ยุคสมัยต่างๆ อาทิเช่น เทวรูป รูปเทพธิดา และอีกข้างหนึ่งจะเก็บ
รักษา พระพุทธรูป เทวรูป ทั้งบรอนซ์โลหะ ดินเผา เป็นต้น และ
เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ประกอบไปด้วยผอบแก้วผลึก ที่
ขุดค้นได้ที่เมืองไวสาลี รัฐบาลพิหารยังเคยอัญเชิญมา ณ พุทธคยา
ตัวเมืองปัตนะปัจจุบัน
ตัวเมืองปัตนะปัจจุบันมีความเจริญตามยุคสมัย มีมหาวิทยาลัย
สนามบิน เป็นต้น
ท่าน้ำ พุทธโคตมะ
เป็นท่าน้ำ ที่พระพุทธองค์เสด็จข้ามไปเมืองเวสาลี เพื่อโปรด
แคว้นวัชชีในคราวเกิดโรคระบาดทั่วแคว้นวัชชี และทรงเสด็จผ่านอีก
หลายครั้ง และปัจจุบันนี้ก็ยังเรียกว่าท่าพุทธโคตัม
สะพานมหาตมะคานธีเสตุ
เสตุ แปลว่า สะพาน เรียกทางการคือ มหาตมะคานธีเสตุ เป็น
สะพานที่มียาวมากที่สุดในอินเดีย ราวประมาณ ๗ กิโลเมตร สร้าง
ในสมัยของนายกอินทิราคานธี
ท่าน้ำ ราเชนสมาธิ
ท่าน้ำ ราเชนสมาธิ เป็นท่าเผาศพประจำ เมืองปัตนะ เป็นการ
ตั้งชื่อตามประธานาธิบดีคนแรกของอินเดียคือ ท่านราเชน คงไม่แตก
ต่างจากท่าน้ำ ที่เผาศพที่พาราณสี เพราะแต่ละวันจะมีศพจำ นวนมาก
ที่นำ มาเผา
ท่าน้ำ มหินทฆาต
ท่านน้ำ มหินทฆาต เป็นท่าน้ำ ที่พระมหินทะเถระลงเรือเพื่อไป
เผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ศรีลังกา
โกลขา
โกลขา เป็นฉางใส่ข้าว สร้างในสมัยอังกฤษมาปกครอง ลักษณะ
คล้ายบาตรคว่ำ มีบันได ๑๔๒ ขั้น
บ้านเกิดของโกวินทะ
โกวินทะ เป็นศาสดาองค์สุดท้ายของศาสนาซิกข์ อยู่ด้านขวา
มือของคานธีเสตุเมื่อเดินทางจากปัตนะไปเวสาลี
สังคายนาครั้งที่ ๓ และส่งสมณฑูต
เหตุของการสังคายนา
เหตุของการสังคายนา คือ มีคนต่างศาสนาหรือพวกเดียรถีย์
เข้ามาปลอมบวช เพราะลัทธิตนได้เสื่อมจากลาภสักการะ มาเพื่อหวัง
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม บางพวกบูชาไฟ ทรมานตนเองบ้าง และจ้วงจาบ
พระธรรมวินัย พระสงฆ์ไม่ให้มีการสังฆกรรมร่วมกัน ส่วนพระโมคคัลลี
บุตรติสสะเถระ ไม่อาจจะระงับอธิกรณ์ได้ มองการปกครองสงฆ์แก่พระ
มหินทเถระ แล้วปลีกวิเวกไปยัง อโธคังคบรรพต ไม่ได้มีการลงอุโบสถ
ถึง ๗ ปี
อธิกรณ์ (เรื่อง คดีความ) ได้ทราบถึงพระราชา แต่ปรากฏ
ว่าอำ มาตย์ที่เข้าไประงับอธิกรณ์ กลับฆ่าภิกษุที่ไม่ทำ อุโบสถ พอคิว
ของพระติสสะเถระ อนุชาของพระราชา อำ มาตย์จำ ได้ไม่อาจฟัน
ด้วยศัสตราวุธได้ พระองค์เสด็จมายังวิหาร ตรัสกับภิกษุว่าโยมมิได้
ให้อำ มาตย์มาฆ่า บาปนี้จะตกแก่ใครหนอพระคุณเจ้า พระสงฆ์ถวาย
ความเห็นเป็น ๒ นัย แล้วพระภิกษุรูปใดที่ตัดสินข้อสงสัยนี้ได้
พระธรรมกถึกและอำ มาตย์อาราธนาถึงสองครั้ง ไม่เป็นผล
ครั้งที่ ๓ โดยให้กล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ บัดนี้พระศาสนา
ได้เสื่อมโทรม ขอพระคุณเจ้าโปรดอนุเคราะห์พวกข้าพเจ้า เพื่อเชิดชู
พระศาสนาเถิด พระเถระได้ฟังแล้ว แม้แต่การบวชของเราเพื่อเชิดชูพระ
ศาสนา
ข่าวการมาของพระเถระ ทำ ให้พระราชาต้องเสด็จโดยพระองค์
เองเดินลุยน้ำ รับพระเถระ ยื่นแขนให้พระเถระที่กำ ลังจะขึ้นจากเรือ พระ
เถระจับพระหัตถ์พระองค์ เหล่าทหารเห็นเช่นนั้น ได้ชักดาบออกจาก
ฝัก ด้วยคิดว่าจะตัดศีรษะพระเถระ เพราะตามจารีต ผู้ใดถูกต้องพระ
ราชา ผู้นั้นจะต้องถูกตัดศีรษะ พระราชาเห็นแสงแห่งดาบแล้ว ตรัส
สั่งว่า อย่าได้กระทำ ผิดในพระเถระเลย เถระถือเราเป็นอันเตวาสิกจึง
ได้จับมือเรา
เมื่อถึงราชอุทานทรงล้างเท้าพระเถระ และทาน้ำ มันให้
พระองค์ใคร่อยากจะเห็นปาฏิหาริย์
พระเถระทูลว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร อยากเห็นแผ่น
ดินไหวทั้งหมด หรือกึ่งหนึ่ง
พระราชา ตรัสว่ากึ่งหนึ่งก็ได้พระคุณเจ้า ราชบุรุษขีดเส้นเป็น
วงกลม
เถระเข้าจตุตถฌาน ซึ่งเป็นบาทของอภิญญา ออกจากจตุตถ
ฌาน และอธิษฐานจิตให้แผ่นดินไหว ล้อรถ, เท้าของม้า, บุรุษ, น้ำ
ในถาด ทั้งหมดล้วนไหว ส่วนด้านนอกไม่ไหว
พระองค์เห็นปาฏิหาริย์แล้ว มั่นใจว่าพระเถระจะยกย่องพระ
ศาสนาไว้ได้เป็นอย่างแน่แท้ พระเจ้าอโศกทรงถามที่ได้ปลงชีวิตภิกษุ
บาปจะตกแก่ใคร พระเถระทูลถาม ขอถวายพระพร พระองค์มีความ
คิดที่จะส่งอำ มาตย์ปลงชีวิตภิกษุเหล่านั้นหรือ
พระองค์ตอบว่า ไม่มี พระคุณเจ้า
พระเถระจึงทูลว่า ถ้าพระองค์ไม่มีความคิดเช่นนี้ บาปก็ไม่มี
แก่พระองค์
พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ ได้ยก ติตติรชาดก เป็นอุทาหรณ์
คาถาในชาดกมีใจความว่า
ถ้าใจของท่านไม่ประทุษร้าย กรรมที่อาศัยท่านกระทำ ก็ไม่
ถูกต้องท่าน บาปก็ไม่ติดเปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์
พระองค์ทรงเรียนรู้พุทธพจน์ของพระศาสดากับเถระตลอด ๗ วัน
จากนั้นทรงรับสั่งให้นิมนต์ภิกษุมาที่ละหมู่ เพื่อตรัสถาม ถ้าไม่
สามารถตอบได้ ให้ทำ การสึกเหล่าเดียรถีย์เหล่านั้นเสีย ให้นุ่งขาว
เมื่อพระองค์จัดการธุระกับศาสนาเรียบร้อยแล้ว รับสั่งว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้า บัดนี้ พระศาสนาบริสุทธิ์แล้ว ขอภิกษุสงฆ์จงทำ
อุโบสถเถิด ทรงพระราชทานอารักขาแล้ว เสด็จกลับพระนคร
เมื่อสถานการณ์ปกติดีแล้ว ได้ทำ สังคายนาพระธรรมและวินัย
ชำ ระมลทินในพระศาสนา คัดเลือกภิกษุที่แตกฉานในปฏิสัมภิทา
ประชุมกัน ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร
พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นองค์อุปถัมภ์
พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ เป็นประธาน
พระสงฆ์จำ นวน ๑,๐๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ
ใช้เวลา ๙ เดือนจึงแล้วเสร็จ
ส่งสมณทูตออกเผยแผ่ต่างแดน
ปลายรัชกาลของพระเจ้าอโศกมหาราช หรือพระเจ้าธรรมาโศก
ราช หลังจากสังคายนาครั้งที่ ๓ พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ ดำ ริถึง
ความตั้งมั่นแห่งพระศาสนา โดยพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทำ การอุปถัมภ์
ได้ส่งสมณฑูตไปประกาศพระศาสนารวมทั้งหมด ๙ สาย ดังต่อไปนี้
สายที่ ๑ พระมัชฌันติกะ ไปแคว้นกัสมีระ และแคว้นธาระ
(แคชเมียร์)
สายที่ ๒ พระมหาเทวะ มหิสมณมณฑล
(รัฐไมซอร์ ตอนใต้ของอินเดีย)
สายที่ ๓ พระรักขิตตะ แคว้นวนวาสีประเทศ
(อยู่ตอนเหนือของรัฐไมซอร์)
สายที่ ๔ พระธรรมรักขิตะ อปรันตกชนบท
(แถบตอนเหนือของบอมเบย์)
สายที่ ๕ พระมหาธรรมรักขิตะ แคว้นมหาราษฎร์
(อยู่แถบปูนา)
สายที่ ๖ พระมหารักขิตะ โยนกประเทศ
(ตอนเหนือของอิหร่าน หรือเปอร์เซีย)
สายที่ ๗ พระมัชฌชิมะ ไปหิมวันตะ เชิงเขาหิมาลัย (เนปาล)
สายที่ ๘ พระโสณะกับพระอุตตระ ไปสุวรรณภูมิ
(พม่า ไทย หรือเอเชียอาคเนย์)
สายที่ ๙ พระมหินทเถระ ประเทศลังกา
(สมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ)
ทุกคณะที่ไปจะมีพระสงฆ์พระเถระร่วมเดินทางด้วยไม่
ต่ำ กว่า ๕ รูป เพื่อให้สามารถบวชผู้มีจิตศรัทธาได้ ในชนบทจะมี
คณะปัญจวรรค
พระธรรมทูตสู่ลังกาทวีป
พระธรรมทูตที่เดินทางไปลังกาทวีป (ตัมพปัณณิทวีป)
มีพระมหินทเถระ เป็นหัวหน้า คณะอีก ๔ รูป พระอัฏฏิยะ พระอุตติยะ
พระสัมพละ พระภัททสาละ รวมทั้งสมนสามเณร ผู้เป็นโอรสของ
พระนางสังฆมิตตา และภัณฑุกอุบาสก
ในงานนักขัตฤกษ์ พระราชาประสงค์กีฬาล่าสัตว์ เทวดาองค์
หนึ่งคิดอยากให้พระราชาพบพระเถระ จึงแปลงเป็นละมั่งอยู่ไม่ไกลจาก
พระเถระ พระราชาเห็นจึงตามไป พระมหินทเถระอธิษฐานว่า ขอให้
พระราชาเห็นเฉพาะแต่เรา แล้วทูลทักว่า ติสสะ ติสสะ จงเสด็จมา
ทางนี้ พระราชาสดับแล้ว ครุ่นคิดสักพัก ปกติธรรมดา ชนทั้งหลาย
ไม่กล้าเรียกออกพระนามเช่นนี้ ทำ ไมสมณะจึงเรียกเรา
ในสมัยนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชกับพระเจ้าเทวนัมปิยติสสะ
ทรงเป็นสหายที่ไม่เคยพบเห็นกัน (พระอทิฏฐสหาย) ต่างก็ส่งเครื่อง
บรรณาการถวายแก่กันและกัน พระเจ้าอโศกมหาราชยังฝากพระ
ราชสาสน์ มีใจความว่า หม่อมฉันได้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระ
สงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ได้แสดงตนเป็นอุบาสกในพระศาสนาแห่งพระศากย
บุตรแล้ว ขอพระองค์ท่านจงยังจิตให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ขอให้
พระองค์ทรงถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ นั้นว่าเป็นสรณะ ด้วยพระราชศรัทธา
เถิด
พระเจ้าเทวนัมปิยติสสะ ทรงสดับแล้วได้ทิ้งอาวุธ แล้วสนทนา
ธรรมกับพระเถระ และเถระได้ถามปัญหาเพื่อหยั่งทราบปัญญาของ
พระราชา จึงแสดง จูฬหัตถิปโทปมสูตร จบถกา พระราชาพร้อมด้วย
บริพารตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์
ปัตนะ
เมืองปัตนะ ปาฏลีบุตร เมือง...สูงสุดพุทธศาสนา
เมือง...พุทธองค์ข้ามคงคา เมือง...สังคายนาครั้งที่สามปราบอลัชชี
เมือง...นครหลวงรัฐพิหาร เมือง...ฐานจักรพรรดิอโศกศรี
เมือง...โองการฯธรรมคํ้าปฐพี เมือง...บารมีเลิศลํ้าธรรมยาตรา
เมือง...อโศการามนามประเสริฐ เมือง...กำ เนิดซิกส์ศาสนา
เมือง...อ้อนวอนแม่ทุรคา เมือง...โกคาร์หอ่าโอ่หอโบราณ
เมือง...สะพานคานธียาวที่สุด เมือง...ธรรมทูต ๙ ทัพขยับฐาน
เมือง...จารึกอโศกยกหลักการ เมือง...ตำ นานพุทธพยากรณ์
ที่มา...คู่มือพระธรรมวิทยากร