กุสินารา (Kusinaga, Kushinagar)
กุสินารา แคว้นมัลละมัลละ
กุสินาราคือสถานที่ปรินิพพาน ถ้านับตามลำ ดับเป็นสังเวชนีย
สถานแห่งที่4 แคว้นมัลละ มีเมือง ๒ แห่งคือ กุสินาราและเมืองปาวา
มีรูปแบบการปกครองคือแบบสาธารณรัฐ เจ้ามัลละร่วมกันปกครอง หลัง
พุทธปริพพาน ๑๕๐ - ๒๐๐ ปี ได้ตกเป็นเมืองของแคว้นมคธ เหตุที่มา
ปริพพานเมืองกุสินารา
๑. เพื่อแสดงสุทัสสนสูตร
๒. เพื่อโปรดสาวกองค์สุดท้ายคือ สุภัททะปริพาชก
๓. เพื่อมิให้เกิดภัยสงครามจากการแย่งพระบรมสารีริกธาตุ
ตรัสอดีตเมืองกุสินารา
เนื่องจากกุสินาราเป็นเมืองเล็ก พระอานนท์จึงกราบทูลให้เสด็จ
ปรินิพพานที่เมืองใหญ่กว่า พระองค์ตรัสว่า อดีตเมืองนี้ชื่อว่า กุสาวดี
ยาว ๑๒ โยชน์ กว้าง ๗ โยชน์ กษัตริย์พระนามว่า พระมหาสุทัศน์ ผู้
มีรัตนะ ๗ ประการ ทรงปกครองโดยธรรม กึกก้องไปด้วยเสียง ๑๐
ประการ เสียงช้าง ม้า รถ เภรี (กลอง) ตะโพน พิณ ขับร้อง กังสดาล สังข์
และเสียงคน เรียกกันทานอาหาร พระเจ้าอโศกมหาราชเคยเสด็จธรรม
ยาตรา ได้พระราชทานทรัพย์ และพระสถูป ณ สถานที่พระพุทธเจ้า
เสด็จดับขันธปรินิพพาน และปักเสาหิน ๓ ต้น
สวนสาลวโนทยาน
สวนสาลวโนทยานคืออุทยานของเจ้ามัลละ ตามที่เต็มไปด้วย
ต้นสาละ ปัจจุบันมีการปรับภูมิทัศน์ มีสนามหญ้า ยังมีต้นสาละภายใน
บริเวณ เป็นต้น สาละแบบอินเดีย ส่วนสาละในบ้านเรา (เมืองไทย) เป็น
สาละพันธุ์ศรีลังกา วัดพม่าจะสร้างติดกับสวนสาลวโนทยาน
มหาปรินิพพานสถูป
ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานระหว่าง
สาละ ๒ ต้น พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างครอบสถานที่ปรินิพพาน
จริงเรียกว่า มหาปรินิพพานสถูป พระสถูปมีความสูง ๖.๑๐ เมตรเหนือ
ระดับพื้นดิน ด้านบนของพระสถูปเป็นฉัตร ๓ ชั้น
มหาปรินิพพานวิหาร
มหาปรินิพพานวิหารเป็นสถานที่สร้างครอบพุทธปฏิมาปาง
ปรินิพพาน สถาปัตยกรรมของตัวอาคาร จำ ลองระเบียงหน้าถ้ำ อชันตา
ใกล้กับพระสถูปเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระพระพุทธเจ้าเป็น
เวลา ๗ วันก่อนอัญเชิญไปถวายพระเพลิง
พระพุทธมหาปรินิพพาน
พระพุทธมหาปรินิพพาน เป็นพระพุทธปฏิมาปางปรินิพพาน
สร้างจากหินทรายก้อนแดงเดียว ยาว ๒๓ ฟุต กว้าง ๕ ฟุต ๖ นิ้ว องค์
พระ ยาว ๑๐ ฟุต สูง ๒ ฟุต ๑ นิ้ว เป็นช่างมาจากเมืองมถุรา ชื่อนาย
ถินา พ.ศ. ๒๔๑๘ ๒๔๐๔ A.C.I. คาร์เลย์ พบพระพุทธปฏิมาแตกหัก
๖ ท่อน อยู่ภายในห้องสถูปปรินิพพาน
มกุฏพันธนเจดีย์
มกุฏพันธเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
พระพุทธเจ้าสิ้น ๖ วัน แล้ววันที่ ๗ ได้ทำ การเคลื่อนย้ายไป ณ มกุฎ
พันธนเจดีย์เพื่อการการถวายพระเพลิง ในอดีตเป็นสถานที่แต่งตั้งหรือ
สวมมงกุฎให้เหล่ามัลละกษัตริย์ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ปัจจุบันองค์พระ
สถูปมีลักษณะคล้ายบาตรคว่ำ ก่อด้วยอิฐและมีสนามหญ้าสวนหย่อม
รายรอบพระสถูป
หลักธรรมที่ทรงแสดง: โปรดนายจุนทะ
เมื่อเสด็จถึงปาวานคร ประทับ ณ อัมพวัน สวนมะม่วงของนาย
จุนทกัมมารบุตร เข้าไปเฝ้าได้ฟังธรรมและเกิดความเลื่อมใส กราบทูล
นิมนต์เพื่อรับอาหารบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้น
พอเช้ารุ่งขึ้นได้เสด็จไปยังบ้านนายจุนทะ ได้ตรัสกับนายจุนทะ
ว่า จงถวายสุกรมัทวะแต่ตถาคตผู้เดียว และถวายอาหารอย่างอื่นอัน
ประณีตแด่พระภิกษุสงฆ์ ที่เหลือให้ขุดหลุมฝังเสีย นอกจากตถาคตไม่มี
ใครสามารถทำ ให้ย่อยได้
ทรงพระประชวร
หลังจากฉันสุกรมัทวะแล้ว ก็ทรงพระประชวรพระโรค โลหิตปัก
ขันธิกาพาธ จากนั้นเสด็จสู่เมืองกุสินารา พระพุทธองค์ ตรัสให้นำ น้ำ มา
ดื่ม พระอานนท์กราบทูลทัดทานได้สดับกระแสรับสั่งครั้งที่ ๓ จึงนำ บาตร
ไป น้ำ ที่ขุ่นเพราะเกวียน ๕๐๐ เล่มเป็นอัศจรรย์น้ำ กลับใส พระองค์นุ่ง
ห่มผ้าสิงคิวรรณที่ปุกกุสะ บุตรแห่งมัลลกษัตริย์น้อม ถวายปรากฏว่าผิว
พรรณงามยิ่งนัก ผิวกายของพระตถาคตจะผุดผ่อง ๒ ประการคือ ราตรี
จะได้ตรัสรู้ และราตรีจะได้ปรินิพพาน
ผลอาหารบิณฑบาต ๒ คราว
อาหารบิณฑบาตมีผล ๒ คราวเท่ากันคือ
๑. บิณฑบาตที่พระตถาคตเจ้าเสวยแล้วตรัสรู้ (สุชาดา, มธุ
ปายาส)
๒. บิณฑบาตที่พระตถาคตเจ้าเสวยแล้วปรินิพพานด้วย
อนุปาทิเสส (จุนทะ, สุกรมัทวะ)
พอถึงสาลวโนทยาน หันพระเศียรไปทางทิศอุดรระหว่างต้นไม้
สาละคู่ทรงสำ เร็จสีหไสยาสน์ มีพระสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เป็นการ
บรรทมครั้งสุดท้ายเรียกว่า อนุฏฐิตไสยาสน์
ตรัสสรรเสริญปฏิบัติบูชา
ดอกมณฑารพได้ตกลงมาเพื่อบูชาพระตถาคต ตรัสพระอานนท์
ว่าการบูชาด้วยอามิส ไม่ได้ชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างแท้จริง ผู้ใดก็ตามเป็น
ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่า เคารพสักการะตถาคตด้วยการ
บูชาอย่างยิ่ง
สังเวชนียสถาน 4 ตำ บล
สังเวชนียสถาน ๔ ตำ บล คือ
๑. สถานที่ตถาคตประสูติ
๒. สถานที่ตถาคตตรัสรู้
๓. สถานที่ตถาคตแสดงปฐมเทศนา
๔. สถานที่ตถาคตปรินิพพาน
สถานที่ทั้ง ๔ ตำ บลนี้แล ควรที่พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้า จะดูจะ
เห็น และควรจะให้เกิดความสังเวชทั่วกัน อานนท์ ชนทั้งหลายเหล่าใด
เหล่าหนึ่ง ได้เที่ยวไปยังเจดีย์ สังเวชนียสถานเหล่านี้ด้วยความเลื่อมใส
ชนเหล่านั้น ครั้นทำ กาลกิริยาลงจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
การปฏิบัติต่อสตรี
ภิกษุสงฆ์พึงปฏิบัติต่อสตรีทั้งหลายดังนี้คือ
๑. ไม่เห็นเป็นการดี
๒. ถ้าเห็นไม่ควรเจรจา
๓. ถ้าเจรจาต้องมีสติ
การปฏิบัติต่อพุทธสรีระ
การปฏิบัติในพระสรีระโดยวิธีเป็นแบบเดียวกันกับวิธี
ปฏิบัติของพระเจ้าจักรพรรดิราช พันพระสรีระด้วยผ้าขาว
ซับด้วยสำ ลีห่อด้วยผ้าขาว ๕๐๐ ชั้น อัญเชิญลงในหีบทองอันเต็มด้วย
น้ำ มันหอมปิดฝา ประดิษฐานบนจิตกาธาน นำ พระอัฏฐิธาตุบรรจุใน
พระสถูปเพื่อให้มหาชนได้สักการบูชา
ถูปารหบุคคล ๔ จำ พวก
ถูปารหบุคคล คือ บุคคลผู้ควรแก่การประดิษฐานในสถูป
๑. พระพุทธเจ้า
๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
๓. พระอรหันตสาวก
๔. พระเจ้าจักรพรรดิราช
สรรเสริญพระอานนท์
ตรัสสรรเสริญพระอานนท์ว่าเป็นยอดพุทธอุปัฏฐาก เป็นบัณฑิต
ประกอบธุระด้วยปัญญา รู้จักกาลอันสมควร
โปรดสาวกองค์สุดท้าย
สุภัททปริพาชกต้องการจะเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา แต่พระ
อานนท์ ทัดทานไว้ พระองค์จึงตรัสสั่งให้เข้าเฝ้าแสดงธรรมโปรดสุภัท
ทะเกิดความเลื่อมใสขอบวช หลีกออกจากหมู่คณะบำ เพ็ญสำ เร็จเป็น
พระอรหันต์ เป็นสาวกองค์สุดท้าย
ปัจฉิมโอวาท
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมี
ความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงบำ เพ็ญไตรสิกขา
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด
นิพพาน
ทรงทำ ปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙
ประการโดยอนุโลมเป็นลำ ดับ และปฏิโลมเป็นลำ ดับ ออกจากจตุตถฌาน
ยังไม่ทันเข้าสู่อากาสานัญจายตนฌาน ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ
ยามสุดท้ายแห่งราตรี วันอาคารขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๑ ปี
ก็บังเกิดแผ่นดินไหว
การเข้าฌานปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
ปฐมฌาน
เข้าฌาณ เข้าใหม่อีก
ทุติยฌาน
ตติยฌาน
จตุตถฌาน
ปรินิพพาน
อากาสานัญจายตนะ
วิญญาณัญจายตนะ
อากิญจัญญายตนะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ถอยกลับ
สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับจิตสังขาร
รูปฌาณ ๔ อรูปฌาณ ๔
สุภัททวุฑฒบรรพชิตจ้วงจาบพระธรรมวินัย
พระมหากัสสปะพร้อมภิกษุ ๕๐๐ องค์ พบอาชีวกบอกว่า
พระสมณโคดมปรินิพพานได้ ๗ วันแล้ว ภิกษุที่เป็นปุถุชนก็ร้องไห้
พระอรหันตขีณาสพยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้นสุภัททะได้กล่าวว่า อย่า
ได้เศร้าโศกเสียใจไปเลย เราทั้งหลายพ้นแล้วจากพระมหาสมณะ ด้วย
ว่าพระองค์ทรงสั่งสอนสิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควรเราทั้งหลายจำ เป็นต้องทำ
ตามจึงลำ บากนัก บัดนี้ เราจะทำ สิ่งใดหรือไม่ทำ สิ่งใดก็ตามก็ได้ตาม
ความพอใจโดยมิต้องเกรงผู้ใด พระมหากัสสปะ ได้ฟังเกิดความสังเวช
สลดใจ ครั้นจะยกขึ้นเป็นอธิกรณ์ เห็นว่ายังไม่สมควร
ส่วนที่ไม่ไหม้
ส่วนที่เพลิงมิได้เผาให้ไหม้ มีดังนี้
๑. ผ้าห่อหุ้มพระพุทธสรีระชั้นใน ๑ ผืน
๒. ผ้าหุ้มภายนอก ผ้าห่อหุ้มพระพุทธสรีระ ๑ ผืน
๓. พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔
๔. พระรากขวัญ ทั้ง ๒
๕. พระอุณหิส ๑
แจกพระบรมสารีริกธาตุ
๑. พระเจ้าอชาตศัตรู เมืองราชคฤห์ มคธ
๒. กษัตริย์ลิจฉวี เมืองเวสาลี วัชชี
๓. ศากยกษัตริย์ เมืองกบิลพัสดุ์ สักกชนบท
๔. ถูลีกษัตริย์ เมืองอัลลกัปปนคร
๕. โกลิยกษัตริย์ เมืองรามคาม สักกชนบท
๖. มัลลกษัตริย์ เมืองปาวา มัลละ
๗. มหาพราหมณ์ เมืองเวฏฐทีปก
สุนทรพจน์ของโทณพราหมณ์
ห้ามการวิวาทให้สงบลงได้ด้วยธรรม โทณพราหมณ์ได้กล่าวว่า
พระองค์สรรเสริญขันติความอดทนอดกลั้นต่อทุกข์และกำ ลังแห่งกิเลส
ถือเอาพระบรมสารีริกธาตุ เป็นเหตุแห่งสงครามคงจะไม่ดีไม่งามเลย ขอ
บรรดาเจ้าเมืองทั้งหลาย จงพร้อมใจกันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุเสมอกัน
ทุกๆ พระนครเถิด
เจดีย์ ๔ ประเภท
ธาตุเจดีย์ คือพระบรมสารีริกธาตุ
๑. ธัมมเจดีย์ คือพระธรรมคำ สั่งสอนที่จารึกลงวัตถุ เช่น พระ
ไตรปิฎก หนังสือ
๒. บริโภคเจดีย์ คือเครื่องใช้สอย เช่น บริขาร บาตร จีวร และ
สังเวชนียสถาน
๓. อุทเทสิกเจดีย์ คือรูปแทนพระพุทธเจ้า เช่น พระพุทธรูป
พระสูตร
พระสูตรสำ คัญ อาทิเช่น มหาปรินิพพานสูตร, มหาสุทัสสนะสูตร,
กุสินาราสูตร
วัดนานาชาติ
วัดนานาชาติ อาทิเช่น ไทย พม่า ญี่ปุ่น จีน ศรีลังกา อินเดีย
เกาหลี ธิเบต เป็นต้น
แข่งขันกีฬามวยปล้ำ (มัลลยุทธ)
Credit : The Royal Thai Monastery Kushinagar
สถานที่ปรินิพพาน
กุสินารามหานคร เมือง...ตรัสสอนสังเว ฯ ๔ สถาน
เมือง...เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมือง...ประทานปัจฉิมวาจา
เมือง...สุทัสสนะมหาจักรพรรดิ์ เมือง...จอมปราชญ์โทณพราหมณ์งามภาษา
เมือง...สตรีใจเพชรมัลลิกา เมือง...เสนาบดีศรีนาคร
เมือง...ทรงโปรดปัจฉิมสาวก เมือง...มรดกพินัยกรรมคำ สั่งสอน
เมือง...สิ้นสุดพุทธกิจพระบิดร เมือง...นุสรณ์มกุฏพันธนเจดีย์
เมือง...เถระทัพพมัลลบุตร เมือง...เทพมนุษย์พร้อมภักดิ์ด้วยศักดิ์ศรี
เมือง...ซาบซึ้งนํ้าพระทัยพระภูมี เมือง...ปฐพีรํ่าไห้อาลัยศาสดาฯ
ที่มา...คู่มือพระธรรมวิทยากร